โรงพยาบาล ทีวายพี
เสริมคาง
คางสั้น คางถอย ทำให้หน้าดูไม่มีมิติ ใบหน้าดูตัน ไม่สมดุลกับสัดส่วนอื่นของใบหน้า ไม่ว่าจะหันมุมไหน ถ่ายรูปกี่ครั้งก็รู้สึกไม่มั่นใจ เพราะขาดความคมชัดของแนวกรอบหน้า ยิ่งเวลายิ้มหรือถ่ายรูปด้านข้างยิ่งเห็นชัดว่าคางถอย ทำให้หน้าดูไม่มีมิติ แม้จะพยายามแต่งหน้าหรือใช้เทคนิคไฮไลต์ก็ยังไม่ช่วยให้รูปหน้าดูสมส่วนได้อย่างที่ต้องการ บางคนมีคางสั้นโดยกรรมพันธุ์ บางคนเกิดจากโครงสร้างกระดูกที่ทำให้แนวคางถอยไปด้านใน ส่งผลให้หน้าดูสั้นและดูอวบกว่าความเป็นจริง หมอแนะนำตัวช่วยยอดนิยม “เสริมคาง” เทคนิคปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนอย่างเป็นธรรมชาติ เพิ่มความยาวของคางให้รับกับหน้าผากและจมูก ช่วยสร้างสมดุลให้ใบหน้าโดยรวม พร้อมช่วยให้แนวกรอบหน้าดูชัดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะสำหรับคนที่อยากเพิ่มมิติให้ใบหน้า เสริมความมั่นใจให้พร้อมถ่ายรูปทุกมุมแบบไม่ต้องพึ่งแอป
เสริมคาง คืออะไร ?
เสริมคาง (Chin Augmentation) คือหัตถการหรือการศัลยกรรมที่ช่วยปรับรูปคางให้ได้สัดส่วนรับกับใบหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางถอย หรือใบหน้าขาดมิติ การเสริมคางช่วยให้โครงหน้าโดยรวมดูสมดุลขึ้น กรอบหน้าคมชัด และใบหน้าดูเรียวยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งจากมุมตรงและมุมด้านข้าง ซึ่งการเสริมคางด้วยซิลิโคนเป็นการผ่าตัดใส่แท่งซิลิโคนเข้าไปบริเวณคาง เพื่อเพิ่มความยาวหรือปรับรูปทรงให้ได้สัดส่วนตามต้องการ ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและถาวร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนรูปคางในระยะยาว ช่วยปรับสมดุลของใบหน้าให้ดูละมุนและมีมิติมากขึ้น
ทำไมหลายคนถึงเลือกเสริมคาง ?
หลายคนเลือกที่จะเสริมคางเพราะต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาวและสมดุลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาคางสั้นหรือคางถอย ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าดูไม่มีมิติ การเสริมคางจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาด ทำให้โครงหน้าดูละมุนและมีความกลมกลืนกับส่วนอื่นของใบหน้า ไม่เพียงแต่ช่วยปรับรูปลักษณ์ให้ดูดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจ โดยเฉพาะเวลาถ่ายรูปหรือมองจากมุมด้านข้าง (side profile) ที่จะเห็นความชัดเจนของแนวกรอบหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่สามารถปรับโครงสร้างใบหน้าได้โดยไม่จำเป็นต้องทำหัตถการหลายจุดในครั้งเดียว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรูปหน้าอย่างเป็นธรรมชาติและมีผลลัพธ์ชัดเจนในระยะยาว
เสริมคาง เหมาะกับใคร ?
การเสริมคางเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางถอย หรือรูปหน้าขาดความสมดุล ซึ่งมักส่งผลให้ใบหน้าดูอวบหรือสั้นกว่าความเป็นจริง รวมถึงผู้ที่รู้สึกว่าใบหน้าไม่มีมิติหรือขาดความชัดเจนของแนวกรอบหน้า ไม่ว่าจะมองจากด้านหน้า ด้านข้าง หรือมุมเฉียง การเสริมคางจึงเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าให้ดูเรียวยาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติและมีความสมดุลมากขึ้น นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจในการถ่ายรูป หรือผู้ที่เคยลองใช้วิธีอื่น เช่น การแต่งหน้าหรือฉีดฟิลเลอร์แล้วรู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์เท่าการเสริมคางแบบถาวร ไม่ว่าจะเป็นเพศใดหรือวัยใด หากมีปัญหาหรือความกังวลใจเกี่ยวกับรูปคาง ก็สามารถเข้ารับการประเมินกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการเสริมคางได้เช่นกัน
เสริมคาง กับฟิลเลอร์คาง ต่างกันอย่างไร
การเสริมคางและการฉีดฟิลเลอร์คางแม้จะมีเป้าหมายเดียวกันคือการปรับรูปคางให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมกับใบหน้า แต่ก็มีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของวิธีการ ผลลัพธ์ และระยะเวลาของการเปลี่ยนแปลง การเสริมคางด้วยซิลิโคนเป็นการผ่าตัดโดยใส่แท่งซิลิโคนเข้าไปบริเวณคาง ซึ่งสามารถกำหนดรูปทรง ความยาว และตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ เป็นการปรับโครงสร้างคางแบบถาวรที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าถาวรและแก้ปัญหาโครงสร้างคางอย่างจริงจัง ขณะที่การฉีดฟิลเลอร์คางเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปที่คางเพื่อเพิ่มความยาวหรือปรับรูปทรงให้ดูสมดุลขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยหรืออยากทดลองปรับรูปคางก่อนตัดสินใจเสริมถาวร อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของฟิลเลอร์จะอยู่ได้เพียงชั่วคราว ประมาณ 6–18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และร่างกายของแต่ละบุคคล ดังนั้นการเลือกว่าจะเสริมคางหรือฉีดฟิลเลอร์คางจึงขึ้นอยู่กับความต้องการ ระยะเวลาของผลลัพธ์ และความพร้อมของแต่ละคน โดยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนตัดสินใจ
จุดเด่นของการเสริมคาง คืออะไร ?
จุดเด่นของการเสริมคาง คือการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนที่สมดุลอย่างถาวร โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาคางสั้น คางถอย หรือแนวกรอบหน้าไม่ชัด การเสริมคางช่วยเพิ่มความยาวและมิติให้กับใบหน้า ทำให้รูปหน้าดูเรียวยาวและมีความละมุนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างความสมดุลระหว่างหน้าผาก จมูก และคาง ส่งผลให้ใบหน้าดูกลมกลืนในทุกมุมมอง ไม่ว่าจะมองจากด้านหน้า ด้านข้าง หรือมุมเฉียง นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบรูปทรงของคางให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้อย่างแม่นยำตามหลักความงาม ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและเข้ากับโครงหน้าจริงของคนไข้ ที่สำคัญคือเป็นการปรับเปลี่ยนที่ให้ผลลัพธ์ในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องเติมหรือแก้ไขบ่อย ๆ เหมือนการฉีดฟิลเลอร์ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการความชัดเจนและถาวรในการปรับรูปหน้า ช่วยเสริมความมั่นใจได้ในระยะยาว.
การดูแลตัวเองก่อนเสริมคาง
1. งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพราะส่งผลต่อการสมานแผลและระบบไหลเวียนเลือด
2. งดยาและอาหารเสริมบางชนิด เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน วิตามินอี น้ำมันปลา หรือสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านการแข็งตัวของเลือด ควรงดอย่างน้อย 7 วันก่อนผ่าตัด (ปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยา)
3. แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว หรือการใช้ยาที่จำเป็นต้องกินประจำ เช่น ยาความดัน ยาเบาหวาน เพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด
4. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมงในคืนก่อนวันผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับการฟื้นตัว
5. งดอาหารและน้ำ อย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง ก่อนการผ่าตัด หากแพทย์ใช้ยานอนหลับหรือยาสลบ (ตามคำแนะนำจากคลินิก)
6. ล้างหน้าให้สะอาด และงดแต่งหน้า ทาครีม หรือทาโลชั่นใด ๆ ในวันผ่าตัด
7. เตรียมคนดูแล/เพื่อนช่วยรับกลับบ้าน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการให้ยานอนหลับ หรือรู้สึกมึนงงหลังผ่าตัด
8. ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ แบบที่ไม่ต้องสวมผ่านศีรษะ เช่น เสื้อที่มีกระดุมหน้า เพื่อไม่กระทบใบหน้าหลังผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังเสริมคาง
1. ประคบเย็นบริเวณคาง ช่วง 48 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดบวมและอาการช้ำ
2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดทับคาง เช่น หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหรือใช้มือกดคางแรง ๆ
3. งดออกกำลังกายหนัก ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการบวมและเลือดออก
4. รับประทานยาและทำตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น ยาลดปวด ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
5. งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้แผลหายช้าหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
6. หลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดหรืออุณหภูมิสูง เพราะอาจทำให้แผลบวมมากขึ้น
7. นอนยกศีรษะสูง ช่วยลดอาการบวมและช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นในช่วงแรกหลังผ่าตัด
8. รับประทานอาหารอ่อน หลีกเลี่ยงของแข็งหรือรสจัด ในช่วงแรก เพื่อไม่ให้กระทบต่อแผลและการฟื้นตัว
9. นัดหมายติดตามผลกับแพทย์ตามนัด เพื่อประเมินการฟื้นตัวและดูแลอย่างใกล้ชิด
10. แจ้งแพทย์ทันทีหากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดรุนแรง บวมแดงมาก มีหนอง หรือไข้สูง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน