Endotine แก้มตก มุมปากย้อย ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส ปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับ ดูมีอายุเกินจริง แม้แต่มุมเผลอหรือเวลายิ้มก็ปิดไม่มิด
Endotine
แก้มตก มุมปากย้อย ใบหน้าดูโทรม ไม่สดใส ปัญหาที่ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับ ดูมีอายุเกินจริง แม้แต่มุมเผลอหรือเวลายิ้มก็ปิดไม่มิด โดยเฉพาะในยุคที่ทุกมุมกล้องสำคัญพอ ๆ กับฟิลเตอร์ ! คุณหมอแนะนำตัวช่วยยอดนิยมของคนอยากหน้าเด็กแบบทันใจ คือการยกกระชับใบหน้าด้วย Endotine เทคนิคผ่าตัดเล็กที่ช่วยล็อกผิวให้ตึง ยกแนวแก้ม หางตา กรอบหน้าให้ดูยกขึ้นแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องดึงแผลยาว ไม่ต้องพักฟื้นนานนับเดือน
Endotine คืออะไร ?
Endotine คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในหัตถการ ผ่าตัดยกกระชับใบหน้า (Facial Lifting Surgery) โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่ตึงกระชับเหมือนเดิม ซึ่งมักเกิดจากอายุที่มากขึ้นหรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การนอนดึก การโดนแดดบ่อย หรือการดูแลผิวไม่สม่ำเสมอ Endotine จะถูกนำมาใช้ร่วมกับการผ่าตัดผ่านแผลเล็ก เพื่อช่วยยึดจับเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังในบริเวณที่ต้องการยกกระชับ เช่นบริเวณแก้ม ที่เริ่มหย่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง หางตาและขมับ ที่อาจตกจนทำให้ดูง่วงหรือหน้าดูเศร้า หน้าผาก ที่มีรอยย่นหรือคิ้วตก ใต้คางและลำคอ ที่เริ่มหย่อนเป็นชั้น
Endotine มีประโยชน์อะไร ?
การยกกระชับใบหน้าด้วย Endotine มีข้อดีหลายประการที่ทำให้เทคนิคนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ชัดเจนแต่ไม่อยากผ่าตัดใหญ่ ได้แก่ ยกกระชับได้อย่างแม่นยำ ตัว Endotine จะช่วยยึดผิวในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างมั่นคง จึงควบคุมทิศทางการยกได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจน ลดการใช้ไหมเย็บจำนวนมาก เนื่องจาก Endotine ทำหน้าที่ยึดผิวแทนไหมเย็บในบางตำแหน่ง ทำให้แผลเล็กลง เจ็บน้อยลง และใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยลง แผลเล็ก พักฟื้นเร็ว: โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับเทคนิคผ่าตัดผ่านกล้อง (Endoscopic) จะได้แผลเล็กมาก ไม่ต้องเปิดแผลยาวแบบการดึงหน้าดั้งเดิม ผลลัพธ์อยู่ได้นาน เพราะเมื่อยึดผิวไว้ในตำแหน่งใหม่แล้ว ร่างกายจะสร้างพังผืดยึดตำแหน่งนั้นไว้ตามธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานหลายปี
Endotine เหมาะกับใคร ?
การยกกระชับใบหน้าด้วย Endotine เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เริ่มมีปัญหาผิวหน้าหย่อนคล้อยจากวัยที่เพิ่มขึ้น เช่น แก้มตก หางตาตก หรือกรอบหน้าไม่ชัดเจน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุประมาณ 30 ปีขึ้นไปที่เริ่มสังเกตว่ารูปหน้าเปลี่ยนไป ไม่สดใสเหมือนเดิม และต้องการผลลัพธ์การยกกระชับที่ชัดเจนกว่าหัตถการแบบไม่ผ่าตัด เช่น HIFU หรือ Thermage แต่ยังไม่อยากทำศัลยกรรมใหญ่แบบการดึงหน้าทั้งใบหน้า เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนในระดับปานกลางไปจนถึงมาก แต่ยังมีความยืดหยุ่นของผิวพอสมควร และต้องการให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น อ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องพักฟื้นนาน นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น ยกมุมปาก ยกหางตา หรือยกแนวแก้มให้ดูยกขึ้น เพื่อให้โครงหน้าดูชัดและเรียวขึ้นอีกครั้ง
จุดเด่นของ Endotine คืออะไร ?
ยกกระชับได้แม่นยำและคงรูป Endotine มีเดือดยึดหลายจุด ทำให้สามารถกระจายแรงดึงได้ดี ยึดผิวหนังหรือชั้นกล้ามเนื้อได้แน่น ช่วยให้ผลลัพธ์การยกกระชับดูเป็นธรรมชาติและอยู่ได้นาน ลดรอยแผลและบาดเจ็บน้อย ใช้ร่วมกับเทคนิคการผ่าตัดแผลเล็ก เช่น Endoscopic brow lift จึงแทบไม่เห็นรอยแผล และมีการบวมช้ำหลังผ่าตัดน้อยกว่าการยกแบบดั้งเดิม ไม่ต้องเอาออก ตัว Endotine ทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ (bioabsorbable) ร่างกายจะดูดซึมไปเองภายในประมาณ 6-12 เดือน จึงไม่ต้องผ่าตัดออกภายหลัง ผลลัพธ์ชัดเจนและปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกหน้าผาก หางตา หรือแก้มเล็กน้อยโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ให้ผลลัพธ์ชัดเจนแต่ยังปลอดภัย ใช้เวลาพักฟื้นน้อย เนื่องจากแผลเล็กและการบาดเจ็บน้อย ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ภายในไม่กี่วัน
การเตรียมตัวก่อนการทำ Endotine
- พบแพทย์เพื่อประเมินใบหน้า ตรวจวิเคราะห์ปัญหาและวางแผนตำแหน่งการยกกระชับอย่างละเอียด
- งดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน, ไอบูโพรเฟน, วิตามินอี อย่างน้อย 7 วันก่อนผ่าตัด
- งดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและฟื้นตัวได้เร็ว
- พักผ่อนให้เพียงพอ ก่อนวันผ่าตัดอย่างน้อย 6–8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายพร้อม
- งดน้ำและอาหารตามคำแนะนำแพทย์ หากต้องใช้ยาสลบหรือยาชาเฉพาะจุด
- ล้างหน้าให้สะอาด ไม่แต่งหน้าในวันผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังทำ Endotine
1. ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก – ช่วยลดอาการบวมและช้ำบริเวณที่ผ่าตัด
2. นอนยกศีรษะสูง – นอนหมอนสูงประมาณ 2 ใบ เพื่อลดการบวมช่วง 3–5 วันแรก
3. หลีกเลี่ยงการก้มหน้าแรง ๆ หรือหันคอแรง ๆ – โดยเฉพาะช่วง 1–2 สัปดาห์แรก เพื่อไม่ให้ Endotine เคลื่อนจากตำแหน่ง
4. งดแต่งหน้า หรือทาครีมบริเวณแผล – จนกว่าแผลจะแห้งสนิท (ประมาณ 5–7 วัน)
5. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง – เช่น ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด อย่างครบถ้วน ไม่หยุดยาเอง
6. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ออกแรงมาก – เช่น ออกกำลังกายหนัก วิ่ง หรือยกของหนัก ประมาณ 2–4 สัปดาห์